สะพานมีความสำคัญต่อการสัญจรไปมาในยามสงบฉันใด ยามสงครามมันก็กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีผลต่อการแพ้ชนะสงคราม หรือในกรณีที่การรบเริ่มจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว มันก็มีส่วนต่อความช้าเร็วในการเผด็จศึกเช่นกัน
ใน สงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรเคยสูญเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากับยุทธการ MarketGarden เดือนกันยายน 1944 (พ.ศ.2487) ที่มุ่งยึดสะพาน Arnhem เพื่อจะรีบรุกข้ามแม่น้ำไรน์ไปพิชิตศึกเยอรมัน ครั้นต่อมาในเดือนมีนาคมปีถัดมา ก็เกิดการยุทธครั้งสำคัญเพื่อยึดสะพานอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ปฏิบัติการใหญ่โตเท่ากับ MarketGarden โดยเฉพาะฝ่ายเยอรมันที่เหลือกำลังเพียงหยิบมือเดียว แต่ก็ไม่ใช่งานกล้วยๆ สำหรับพันธมิตรซะทีเดียว
มันเป็นอีกยุทธการที่สะท้อนสัจจธรรมบางอย่างเกี่ยวกับคำสั่งทหารในสงคราม
ภาพยนตร์เรื่อง The Bridge at Remagen เนื้อเรื่องเกี่ยวกับยุทการการยึดสะพานทางรถไฟในเมือง Remagen ซึ่งมีชื่อจริงตามประวัติศาสตร์ว่า สะพาน Ludendorff เริ่มเรื่องขึ้นในตอนปลายสงครามเมื่อกองทัพเยอรมันล่าถอยข้ามสะพาน OberKassel แล้วทำลายสะพานทิ้ง ผลคือทางฝ่ายเยอรมันเองไม่พอใจที่กองทัพอเมริกันเกือบจะยึดสะพานได้ และเกรงว่าสะพานที่เมือง Remagen จะเป็นเป้าหมายต่อไป จึงได้สั่งการให้นายพลเอกฟอนบร็อค (Generaloberst von Brock ) เร่งจัดการทำลายทิ้งเสีย แต่ฟอนบร็อคเห็นว่าสะพานยังมีความสำคัญสำหรับการล่าถอยของกองทัพที่ 15 แต่ก็รับคำสั่งอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่ทางฝ่ายกองทัพสหรัฐฯ โดยนายพลชินเนอร์ (General Shinner) ก็ต้องการทำลายสะพานรีมาเกนนี้เสียเพื่อที่จะสกัดการถอยของกองทัพเยอรมัน ในการนี้ นายพันตรีบาร์เนส (Major Barnes) ได้ถ่ายทอดคำสั่งมายังกองร้อยของผู้กองโคลท์ เป็นผบ. และพระเอกของเรา นายร้อยโทฮาร์ทแมน (Lieutenant Phil Hartman) และจ่าแองเจิล (Sergeant Angelo) เป็นกำลังสำคัญ ซึ่งกองร้อยนี้ดูเหมือนจะต้องทำศึกเป็นกองหน้าอยู่เสมอ ต่อมาไม่นาน ผู้กองโคลท์ได้เสียชีวิตจากการซุ่มยิงรถจี๊ปด้วยจรวดต่อสู้รถถังที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ฮาร์ทแมนก็ต้องรับหน้าที่เป็นผบ.ร้อยทำศึกต่อไป
ด้านนายพลฟอนบร็อคได้เรียกตัวนายพันตรีครูเกอร์ (Major Paul Kruger) ให้มาเตรียมการทำลายสะพานรีมาเกนตามคำสั่งหน่วยเหนือ แต่ได้ขอร้องไว้ว่าให้ถ่วงเวลาไว้จนกว่ากองทัพที่ 15 จะข้ามสะพานมาได้เสียก่อน โดยให้ข้อมูลว่าที่รีมาเกนจะมีกำลังพลหน่วยต่างๆ อยู่ประมาณ 1,600 คน และยังสัญญาว่าจะส่งกำลังหน่วยยานเกราะเป็นกองหนุนไปช่วยอีก แต่เมื่อครูเกอร์เดินทางไปถึงสะพาน จึงได้รับรายงานจากผู้กองชมิดท์ (Hauptmann Karl Schmidt) และผู้กองเบามัน (Capt. Otto Baumann) ว่าที่แท้จริงแล้วมีกำลังทหารรักษาสะพานอยู่ประมาณ 200 คนเท่านั้น ครั้นพอจะติดต่อนายพลฟอนบร็อคเรื่องหน่วยยานเกราะก็ยากแสนเข็ญและคำตอบที่ได้คือหน่วยยานเกราะที่ว่าถูกส่งไป "ที่อื่น" เสียแล้ว
|