เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเกิดจากพลังแรงกล้าของการใฝ่หาเสรีภาพโดยการนำของนิสิตนักศึกษาได้สร้างภาพยิ่งใหญ่ตราไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ ตั้งแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงตลอดแนวถนนราชดำเนิน จากผู้คนเรือนล้านที่ออกจากบ้านและสถานศึกษามาด้วยวิญญาณประชาธิปไตย ถึงร่างเปื้อนเลือดซึ่งนอนทอดนิ่งอยู่ภายใต้ผืนธงไตรรงค์ท่ามกลางควันปืนและเสียงร่ำไห้ของเพื่อนพ้องผู้ใกล้ชิด ขณะประชาธิปไตยเริ่มผลิบานขึ้นอีกครั้ง
เสกสรร ประเสริฐกุล หนึ่งในผู้นำนักศึกษา ซึ่งยืดหยัดเป็นศูนย์กลางของฝูงชนตลอดวันคืนอันยาวนานของเดือนตุลาฯ กลับพบว่าสภาพรอบตัวของเขาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัวอันตรายและเต็มไปด้วยความขัดแย้งคุกคาม หลังจากเพื่อนพ้องคนรู้จักโดนลอบสังหารต่อเนื่อง
เขาตัดสินใจชวน จิระนันท์ พิตรปรีชา คนรักซึ่งเป็นดาวจุฬาฯ และหันหลังให้กิจกรรมความงามมาเข้าร่วมอยู่ในขบวนการเรียกร้องความเป็นธรรม พากันหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งก็เหมือนกับเพื่อนพ้องกับนักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องจำนวนมาก ทั้งที่เดินทางเข้าไปก่อนหน้าและเดินทางติดตามเข้าไปในภายหลัง ทั้งสองต้องใช้ชีวิตด้วยความยากเข็ญท่ามกลางป่าเขาบนภูร่องกล้า เฝ้าฝันว่าสักวันจะได้กลับเมืองพร้อมชัยชนะตามอุดมการณ์ที่ตั้งหวัง
แต่แล้วเขากับจิระนันท์ ก็เริ่มพบว่า สภาพแบบที่ทำให้เขาต้องหนีออกจากเมือง ได้ย้อนกลับมาเป็นปัญหาให้ต้องเผชิญอีกครั้งในป่า การขัดแย้งทางความคิด การขาดความเป็นประชาธิปไตยและการยอมรับ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ระบบญาติมิตรอุปถัมภ์ ตลอดจนการทำตัวเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในป่าเหมือน ๆ กับที่มันมีอยู่ในเมือง
เขาพยายามเสนอแนวทางเพื่อการปรับเปลี่ยนแก้ไข แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบ ในทางตรงกันข้าม เขากลับถูกจับตามองโดยฝ่ายนำจำนวนหนึ่งและถูกวิพากษ์ว่าเป็นพวกค้านพรรค ชีวิตของเขาและเธอต้องเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยการบงการของพรรคซึ่งเฝ้าติดตามดูพฤติการณ์ ในที่สุดความอดกลั้นของเสกสรรค์ก็ระเบิดออก เขารวบรวมเพื่อนนักศึกษาเตรียมประกาศสงครามกับฝ่ายนำที่อุ้มผาง ก่อนจะพบว่ามันคือสงครามที่ไม่มีวันได้รับชัยชนะ
เสกสรร จิระนันท์ และเพื่อน ๆ ตัดสินใจทะยอยกันออกจากป่า ขณะฝ่ายนำส่งมือสังหารตามล่า ทว่าโดยการคุ้มกันของเพื่อน ๆ เขาสามารถพาคนรักข้ามสะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยวหนีรอดออกมาได้อย่างจวนเจียน
|